ช่วงเช้าวันนี้ (18 พฤศจิกายน 2567) นายมณฑล ภาคสุวรรณ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (เลขาธิการ กช.) เป็นผู้แทนสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ร่วมหารือมาตรการเยียวยาผู้ปกครองที่ได้รับผลกระทบจากการที่โรงเรียนธรรมภิรักษ์ประกาศเปิดดำเนินการเป็นปีสุดท้าย โดยมีนางภัทราพรรณ เล็งวัฒนากิจ ผู้อำนวยการกลุ่มงานโรงเรียนสามัญศึกษา พร้อมด้วยผู้บริหารโรงเรียน และผู้ปกครองนักเรียนโรงเรียนธรรมภิรักษ์ รวมถึงเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วม ณ ห้องประชุมวิเวก ปางพุฒิพงศ์ อาคารสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน กระทรวงศึกษาธิการ
นายมณฑล ภาคสุวรรณ์ เลขาธิการ กช. กล่าวว่า จากกรณีผู้ปกครองนักเรียนได้รับผลกระทบหลังจากโรงเรียนธรรมภิรักษ์ประกาศเปิดดำเนินการเป็นปีสุดท้าย ทางตัวแทนผู้ปกครองจึงได้เดินทางมายื่นหนังสือถึงปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ให้รับทราบความเดือดร้อนและขอให้มีการพิจารณาการเยียวยาช่วยเหลือ ซึ่งในเรื่องนี้ พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้มีความห่วงใยต่อกรณีดังกล่าว จึงมอบหมายให้ตนมารับเรื่องและดำเนินการตรวจสอบเรื่องนี้เพื่อให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ซึ่งจากการหารือเบื้องต้นในวันนี้ โรงเรียนชี้แจงว่าสาเหตุที่ต้องปิดกิจการเนื่องมาจากการขาดสภาพคล่อง โดยเฉพาะหลังสถานการณ์ COVID-19 มีจำนวนนักเรียนลดลง รายจ่ายสูงกว่ารายรับ ทางโรงเรียนไม่มีงบประมาณพัฒนาคุณภาพการเรียนการสอนได้ตามเป้าหมาย และไม่ได้มีการเปลี่ยนประเภทเป็นโรงเรียนนานาชาติอย่างที่เป็นข่าว จากนั้นทางผู้บริหารโรงเรียน ผู้แทนผู้ปกครอง และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) ได้ร่วมหารือถึงมาตรการที่โรงเรียนต้องดำเนินการ รวมถึงการพิจารณาเยียวยานักเรียนที่ได้รับผลกระทบจากการประกาศเตรียมเลิกกิจการดังกล่าว โดยมีแนวทางดำเนินการ ดังนี้
1. โรงเรียนจะเร่งสำรวจความประสงค์ของผู้ปกครองทุกคนว่า ประสงค์จะย้ายนักเรียนไปเรียนต่อในโรงเรียนใด เพื่อประสานขอความร่วมมือไปยังโรงเรียนต่างๆ ในการพิจารณารับนักเรียน โดยทาง สช. จะช่วยประสานกับโรงเรียนด้วยอีกทาง
2. โรงเรียนจะต้องจัดการเรียนการสอนไปจนสิ้นปีการศึกษา 2567 อย่างมีคุณภาพมาตรฐานเช่นเดิม และอำนวยความสะดวกให้กับผู้ปกครองในการสมัครเข้าเรียนต่อยังสถานศึกษาแห่งใหม่ รวมทั้งการออกหนังสือรับรองผลการเรียนตามที่กฎหมายกำหนดให้กับนักเรียน
3. โรงเรียนจะนำข้อเรียกร้องผลกระทบของผู้ปกครองไปพิจารณาเพื่อให้การเยียวยาตามความเหมาะสมต่อไป เช่น การลดค่าธรรมเนียมการศึกษา การผ่อนชำระค่าธรรมเนียมการศึกษา การคืนค่าธรรมเนียมการศึกษากรณีผู้ปกครองนำนักเรียนไปเรียนในโรงเรียนใหม่ภายในเดือนพฤศจิกายน 2567 เป็นต้น
“สำหรับการหารือในครั้งนี้ เราต้องรอข้อมูลจากทางโรงเรียนก่อนว่านักเรียนที่ได้รับผลกระทบมีความประสงค์จะสมัครเข้าเรียนที่โรงเรียนใดต่อไป ทาง สช. จึงจะสามารถช่วยประสานกับทางโรงเรียนปลายทางเกี่ยวกับการรับนักเรียนเพิ่มเติมในระหว่างช่วงชั้นได้ หากได้รับข้อมูลแล้วจะเร่งประสานกับทางโรงเรียนธรรมภิรักษ์และดำเนินการในขั้นตอนต่อไปอย่างเร็วที่สุด โดย สช. ขอให้ผู้ปกครองและนักเรียน ได้วางใจว่าเราจะดำเนินการอย่างโปร่งใสและให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย รวมทั้ง สช.จะต้องพิจารณาว่าโรงเรียนได้ยื่นขอเลิกกิจการภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดหรือไม่ คือต้องไม่น้อยกว่าหนึ่งร้อยยี่สิบวันก่อนสิ้นปีการศึกษา (15 พฤษภาคม 2568) และจะยังไม่มีการอนุญาตให้โรงเรียนเลิกกิจการจนกว่าโรงเรียนจะดำเนินการตามเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนดครบถ้วนแล้ว” เลขาธิการ กช. กล่าวทิ้งท้าย